วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

ทานอาหารตามกรุ๊ปเลือด เพื่อสุขภาพ


กรุ๊ป A นักมังสวิรัติดี ๆ นี่เอง

          คนเลือดกรุ๊ปนี้ส่วนใหญ่จะมีกรดในกระเพาะต่ำ ทำให้ระบบการย่อยไม่ค่อยดี ระบบภูมิคุ้มกันก็ไม่ดี มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และมะเร็ง กรุ๊ปเอจึงถูกจัดเป็นมังสวิรัติ

อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด
          กินปลาอาทิตย์ละ 3-4 ครั้งเพื่อเสริมโปรตีน หลีกเลี่ยงปลาเนื้อขาว เช่น ปลาตาเดียว หรือปลาจะละเม็ด เพราะมีเล็คตินรบกวนระบบการย่อย หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ต่าง ๆ อาจกินได้นิดหน่อย เลือกดื่มนมถั่วเหลือง นมแพะ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำ แทนนมวัว กินไข่ได้บ้างเป็นครั้งคราว บรรดาตระกูลถั่วต่าง ๆ อาทิ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสงที่มีเยื่อหุ้มบาง ๆ และถั่วเหลือง เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปนี้ สามารถกินข้าวกล้องหรือซีเรียลได้วันละ 1-2 ครั้ง ผักทั้งสด และสุกกินแล้วดีโดยเฉพาะหอมหัวใหญ่ และบร็อคโคลี มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง แครอท ฟักทอง ผักโขม และกระเทียม ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน 


          กินผลไม้แทบทุกชนิด ยกเว้นแตงโม แคนตาลูป มะม่วง มะละกอ กล้วย ส้ม เพราะย่อยยาก พวกชาสมุนไพรจะไปเพิ่มกรดในกระเพาะ ไวน์แดงดื่มได้ แต่ควรเลี่ยงเบียร์ และน้ำอัดลม


 


กรุ๊ป B อ้วนง่าย

          คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ ส่วนใหญ่มีปัญหากับไวรัส และภูมิคุ้มกันบกพร่อง ระบบประสาทไม่ค่อยดี ชอบปวดตามข้อ ซึ่งไม่ใช่อาการของเกาต์หรือรูมาตอยด์ มีโอกาสเกิดโรคแผลในสมอง (sclerosis) หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง

อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด
          เนื้อกระต่าย กวาง แกะ ไก่งวง ควรกินปลาน้ำลึก เช่น ปลาหิมะ และปลาเนื้อขาว อย่างปลาจะละเม็ด ปลาตาเดียว หลีกเลี่ยง เนื้อหมู ไก่ หอยเชลล์ กุ้ง ปู หอยแครง เพราะจะรบกวนระบบในร่างกาย สามารถกินนม เนย ไข่ ในปริมาณที่เหมาะสมได้ ข้าวโอ๊ต และข้าวกล้องดีต่อคนเลือดกรุ๊ปนี้ขณะที่แป้งสาลี ถั่วลิสง และโฮลวีท ไม่ดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกายทำให้อ้วนและไม่ดีต่อเลือด อาจเป็นสาเหตุของโรคเส้นโลหิตแตกควรลองแป้งสเปลท์ (spelt) ซึ่งเป็นแป้งที่มีคุณค่าทางสารอาหาร และมีไฟเบอร์สูง ผักใบเขียวทุกชนิดกินดีหมด เพราะมีแมกนีเซียมช่วยป้องกันอาการผื่นคัน แต่ถ้าอยู่ระหว่างไดเอ็ทควรหลีกเลี่ยงมะเขือเทศ และข้าวโพด เพราะมีผลต่อการสร้างอินซูลิน และระบบเผาผลาญ 


          กินผลไม้ได้แทบทุกชนิด ยกเว้น ลูกพลับ ทับทิม และลูกแพร์ ชาสมุนไพรที่ให้ประโยชน์คือ ขิง เปปเปอร์มิ้นต์ โสม ชาเขียว



กรุ๊ป O High Protein
          ปัญหาของคนเลือดกรุ๊ปนี้คือ กระเพาะมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อได้ดีกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น แต่ระบบการเผาผลาญไม่ค่อยดี ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ค่อยคงที่ จึงทำให้อ้วนง่าย ตามติดมาด้วยปัญหาเลือดแข็งตัวช้า

อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด
          เลือกกินเนื้อได้ตามใจชอบ กินอาหารทะเลได้เป็นประจำ เพื่อป้องกันโรคเลือดไม่แข็งตัว และไทรอยด์ แต่ระวังเรื่องไขมันและโคเรสเตอรอลด้วย กินนม เนย ไข่ในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าอยากผอมต้องเลี่ยงแป้งสาลี ข้าวโอ๊ต และบรรดาถั่วต่าง ๆ ผัก กินได้แทบทุกชนิด โดยเฉพาะบร็อคโคลี ผักโขม มีวิตามินเคสูง ช่วยให้เลือดแข็งตัว ส่วนผักตระกูลกะหล่ำควรหลีกเลี่ยงเพราะมีผลต่อไทรอยด์ เห็ดหอมและมะกอกดองทำให้เกิดอาการแพ้ มะเขือยาว และมันฝรั่งทำให้ปวดข้อ 


          ผลไม้กินได้แทบทุกชนิดโดยเฉพาะตระกูลเกรปฟรุต ตระกูลเบอร์รี่ (ยกเว้นแบล็คเบอร์รี่) ช่วยลดน้ำหนัก ควรเลี่ยงแคนตาลูป มะพร้าว ส้ม และสตรอเบอร์รี่ เพราะมีกรดสูงเกินไป ชา สมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ อาทิเปปเปอร์มินท์ Licorice Tea Parsley ฯลฯ ไม่ควรดื่มเบียร์ ชา กาแฟ เพราะจะเพิ่มกรดในกระเพาะให้หนักเข้าไปอีก



กรุ๊ป AB มังสวิรัติ และคาร์โบไฮเดรต          กรุ๊ปนี้เป็นการผสมผสานระหว่างกรุ๊ปเลือด A กับ B ดังนั้นวิธีการกินที่เหมาะสมกับคนกรุ๊ปนี้เป็นการผสมผสานการกินมังสวิรัติหน่อย ๆ กับการกินแบบกรุ๊ปบี นิด ๆ คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้มีจุดอ่อนเรื่องสุขภาพอยู่ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และกรดในกระเพาะต่ำ

อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด
          ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และเต้าหู้ สามารถกินเนื้อแกะ กวาง กระต่าย และไก่งวงได้นิดหน่อย ไม่ควรกินปลาเนื้อขาว และแซลมอนรมควัน เพราะย่อยยากและเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร สามารถกิน นม เนย ไข่ และโยเกิร์ตไขมันต่ำได้ จำพวกข้าว ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรงดเว้นการกินถั่วแดง งา เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ข้าวโพด เพราะจะชะลอการทำงานของอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงเฉียบพลัน ผักสดกินได้แทบทุกชนิด ช่วยป้องกันมะเร็ง และโรคหัวใจ 


          ผลไม้กินได้ดีเป็นบางอย่าง อาทิ องุ่น พลัม ตระกูลเบอร์รี่ สับปะรด ส้มโอ ฯลฯ เพราะช่วยสร้างความสมดุลของกรดในเนื้อเยื่อ ไม่ควรกินกล้วย มะม่วง ฝรั่ง ส้ม..

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

มะกะโรนียัดใส้


 มะกะโรนียัดไส้ เมนูอาหารสำหรับสุขภาพและดูไม่น่าเบื่อสำหรับคุณแม่บ้านที่จะทำอาหารให้ครอบครัวไว้รับประทาน แถมยังทานง่าย อร่อย อีกต่างหากค่ะ

ส่วนผสม
 
          ริกาโตนี หรือพาสต้าข้อกลมใหญ่ต้มสุก 20 ท่อน
          เนื้อหมูสับ 200 กรัม
          เนื้อกุ้งสับหยาบ 150 กรัม
          มันหมูแข็ง 100 กรัม
          รากผักชี กระเทียม พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะ (โขลกละเอียด)
          ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
          ซอสหอยนางรม ½ ช้อนโต๊ะ
          น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
          แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
          น้ำมันงาเล็กน้อย
          ผักชี
          พริกขี้ฟ้าสีแดงซอย
          จิ๊กโฉ่ (ซอสเปรี้ยว)
 
วิธีทำ
  •  ผสมเนื้อหมูสับ เนื้อกุ้งสับหยาบ มันหมูแข็ง และรากผักชี กระเทียม พริกไทยให้เข้ากัน
  • ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำตาลทราย แป้งข้าวโพด นวดให้เข้ากัน ใส่น้ำมันงาคลุกเคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง
     
  • นำไปบรรจุใส่ในมะกะโรนีต้มสุก เรียงใส่ถาดยกขึ้นนึ่งประมาณ 10 นาที หรือจนสุก ยกลงตกแต่งด้วยผักชี พริกชี้ฟ้า จัดเสิร์ฟพร้อมจิ๊กโฉ่

 


พูดดิ้งลำไย

         วันนี้เรามีเมนูขนมหวาน พุดดิ้งลำไย สำหรับเอาไว้ทานเล่นๆ สำหรับทุกคนในครอบครัว และยังเป็นเมนูที่ชื่นชอบของใครๆ หลายๆ คนอีกด้วย

สูตรและวิธีการทำพุดดิ้งลำไย 
ส่วนผสม
เนื้อลำไยสดหรือในน้ำเชื่อม         100       กรัม 
น้ำลำไย                    75       กรัม 
นมสด                                            250       กรัม
น้ำตาลทราย                                      85       กรัม
วิปครีมชนิดจืด                                  125       กรัม
น้ำเปล่า                                          125       กรัม
เจลาตินชนิดแผ่น                                 14       กรัม
ลำไยสำหรับตกแต่ง

วิธีทำ
 
แช่เจลาตินลงในน้ำเย็นจัดจนแผ่นมีลักษณะนุ่มเตรียมไว้ ใส่นมสด น้ำลำไย วิปครีม น้ำตาลทรายและน้ำเปล่าลงในหม้อ ตั้งไฟปานกลางพอเดือด ใส่เจลาตินคนให้ละลายยกลง ใส่เนื้อลำไยลงในแก้วแล้วเทส่วนผสมในข้อที่  2  ลงจนเต็มแก้ว นำเข้าแช่ในตู้เย็นจนเซ็ตตัว นำออกมาตกแต่งด้วยลำไยจัดเสริฟ

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

การประกวดสาวงามเวที "มิสยูนิเวิร์ส 2011" ณ เมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล มีสาวงามจาก 89 ประเทศเข้าร่วมชิงชัย
ผู้คว้ามงกุฏมิสยูนิเวิร์ส ประจำปี 2011 ได้แก่ Leila Lopes จากแองโกลา
รองอันดับหนึ่ง ตกเป็นของ Olesia Stefanko จากยูเครน
รองอันดับสอง ตกเป็นของ Priscila Machado จากบราซิล
รองอันดับสาม ตกเป็นของ Shamcey Supsup ฟิลิปปินส์
รองอันดับสี่ ตกเป็นของ Luo Zilin จากจีน

รู้มั้ยลงพุงมีสิทธิ์เป็นอัลไซเมอร์ด้วยแหล่ะ

การที่คนเราผอมแห้งจนเกินไปนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะว่าคุณอาจจะขาดสารอาหารได้ แต่การปล่อยเนื้อปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้อ้วนจนลงพุงก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนะจ๊ะ
เพราะ ว่ามีการทดลองที่ต้องขอยกย่องและชื่นชมคณะผู้ทำการวิจัยนี้จริง ๆ เพราะเป็นการทดลองติดตามผลที่นานใช้ได้เลยทีเดียว เนื่องจากการวิจัยนี้ใช้เวลาติดตามผลกว่า 40 ปีทีเดียว (ค.ศ. 1964 - 2006) นานกว่าเราเกิดอีกคร๊าบบบ

ซึ่ง งานวิจัยนี้เป็นของสหรัฐอเมริกา ที่ได้วัดรอบเอวของชาย/หญิงชาวอเมริกันกว่า 6583 คน โดยมีอายุตั้งแต่ 40 - 45 ปี จากนั้นอีก 36 ปี พบว่าร้อยละ 16 หรือในจำนวนดังกล่าวมีกว่า 1049 คนที่เริ่มมีอาการอัลไซเมอร์
เมื่อ พิจารณาดูแล้วพบว่าในกลุ่มคนที่เริ่มมีอาการของโรคอัลไซเมอร์นั้นส่วนใหญ่จะ ลงพุงทั้งนั้น และคนที่มีพุงเหล่านี้ต่างก็มีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากกว่าคนที่ไม่มีพุง มากถึง 4 เท่าทีเดียว
เห็น มั้ยค่ะเดี๋ยวนี้ปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพของคนเราเยอะมากจริง ๆ ยังไง ๆ ถ้าเพื่อน ๆ ที่นี่คนไหนไม่อยากเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ล่ะก็ แนะนำให้ออกกำลังบ่อย ๆ เป็นประจำค่ะ ช่วยได้มากทีเดียว

10 อันดับอาชีพทำเงินเกิดใหม่ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ใน ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปพร้อม ๆ กับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้วิถีชีวิตของคนเราโดยเฉพาะคนในเมืองนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้ ยิ่งมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกและช่องทางสื่อสารใหม่อย่างอินเทอร์เน็ตเข้า มา ก็ยิ่งเอื้อให้คนเราสามารถติดต่อสื่อสารและทำอะไรได้อย่างรวดเร็วขึ้น และขณะที่มันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ความจำเป็นในการจ้างคนเข้ามาพัฒนาจัดการในส่วนนี้ก็ยิ่งมีมากขึ้นไปตาม ๆ กัน จึงไม่แปลกที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ จะมีอาชีพใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย

          เว็บไซต์ เดลี่ท็อปเทน ได้จัดอันดับ 10 อาชีพเกิดใหม่ ที่เพิ่งจะมีให้เห็นกันในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ โดยจัดอันดับตามรายได้ที่ได้รับ ดังนี้

   1. ดาราเรียลลิตี้ (Reality Star)  

          มีหน้าที่ทำทุกอย่างตามที่โปรดิวเซอร์บอก เป็นอาชีพการแสดงอย่างหนึ่ง ที่ต้องแสดงให้คนเข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้แสดง และน่าแปลกที่ไม่ว่าจะเป็นเรียลลิตี้ของประเทศไหน ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก และแน่นอนมันจึงทำให้ค่าตัวของนักแสดงหน้าตายสูงลิ่วเช่นกัน

   2. ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Media Strategist)

          มีหน้าที่วางแผนเกี่ยวกับการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ของพวกเขาให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากที่สุด

   3. ช่างถ่ายภาพเคลื่อนไหวภาคสนาม (Video Journalist)  

          มีหน้าที่ในการบันทึกภาพเคลื่อนไหวทั่วสารทิศพร้อมกับอธิบายเหตุการณ์ไป พร้อม ๆ กัน วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและเป็นการเสนอข่าวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในยุคอินเทอร์เน็ตยุคนี้

   4. นักพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนมือถือ (Mobile Phone App Developer)  

          มีหน้าที่สร้างสรรค์เกมและเครื่องมือแอพพลิเคชั่นสำหรับมือถือ ซึ่งก็ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้มือถือที่รองรับการใช้งานแบบครอบจักรวาล ได้ตรงจุดเลยทีเดียว

   5. บรรณาธิการเว็บไซต์ (Content Manager) 

          ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานทุกอย่างในกองบรรณาธิการเว็บไซต์ โดยจัดหาข้อมูลที่น่าสนใจ และควบคุมเนื้อหาที่จะเผยแพร่ในเว็บไซต์

   6. ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานรักษ์โลก (Green Energy Expert)  

          ทำหน้าที่ให้ข้อมูลประชาชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนบ้าน หรือสำนักงาน ที่อยู่อาศัยทุกประเภทให้เป็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดการใช้พลังงานที่ทำลายโลก

   7. นักพัฒนาโปรแกรมแฟลช (Flash Developer)  

          ทำหน้าที่คิดค้นสร้างสรรค์โปรแกรม หรืออนิเมชั่นสวย ๆ โดยใช้โปรแกรมแฟลชเป็นเครื่องมือในการพัฒนาโปรแกรมและอนิเมชั่น

   8. นักช้อปปิ้งส่วนตัว (Personal Shopper)

          อาชีพนี้อาจไม่ค่อยได้เห็นในบ้านเรา แต่สำหรับต่างประเทศ ตอนนี้มันเริ่มจะมีให้เห็นค่อนข้างแพร่หลาย โดยนักช้อปปิ้งเหล่านี้จะมีหน้าที่ซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับให้กับผู้ที่ไม่มีเวลาไปช้อปปิ้งเอง และแน่นอน พวกเธอก็จะต้องเป็นสไตลิสต์ที่รู้จักมิกซ์แอนด์แมทช์เสื้อผ้าให้กับผู้ใส่ ด้วย

   9. ช่างเทคนิคเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Thermal Technicians) 

          มีหน้าที่ออกแบบ พัฒนา ติดตั้ง และบำรุงรักษาระบบพลังงานแสงอาทิตย์ทุกประเภท ซึ่งถือเป็นอาชีพที่เป็นที่ต้องการมากในปัจจุบัน เพราะผู้คนเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานทดแทนที่ไม่ทำลายโลกกันอย่างกว้าง ขวาง

   10. บล็อกเกอร์ (Blogger) 

          มีหน้าที่นำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจในบล็อกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก ผู้เขียนบล็อกก็อาจสร้างรายได้จากการลงโฆษณาในหน้าเว็บบล็อกของตัวเอง และในขณะนี้ ก็มีบล็อกเกอร์ที่หารายได้ในลักษณะนี้มากมายทั่วโลก

          อย่าง ไรก็ดี การจัดอันดับอาชีพเกิดใหม่ตามรายได้ อาจแตกต่างกันไปตามสภาพสังคมและความต้องการของตลาดของแต่ละพื้นที่ และสามารถแปรผันได้ตามช่วงเวลาและความจำเป็นของอาชีพเหล่านั้น

น้ำตาลทำให้เสพติดได้

นักวิทยาศาสตร์บอกเตือนว่า ถ้าหากกินน้ำตาลมาก อาจจะทำให้ เกิดเสพติด และเป็นอันตรายถึงแก่
ชีวิตเหมือนกับยาเสพติดได้ เนื่อง จากได้หลักฐานว่าหนูที่ทดลองให้ กินน้ำตาลมากๆ อาจทำให้สมองวิปลาส เหมือนกับผู้ติดยาเสพติด

นัก ประสาทวิทยาของสถาบันประสาทวิทยาปรินซ์ตัน ของสหรัฐฯแจ้งว่า หนูที่โดนถูกให้กินน้ำตาลเมื่อยามหิวๆ มาก จะมีอาการอย่างที่เรียกได้ว่า เมาน้ำตาล และมันสมองจะแปรเปลี่ยนไป เหมือนเกิดจากสิ่งเสพติด เช่น โคเคน มอร์ฟีน และนิโคติน “การอยากยาและเกิดเป็นซ้ำๆ เป็นอาการสำคัญของการเสพติด ซึ่งแสดงให้เห็นในหนูที่ถูกจับให้กินน้ำตาลมากๆ”.

ขำขำ ก่อนสอบ : )




10 อันดับ สิ่งสกปรกที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน

            หากนึกถึงสิ่งสกปรกรอบๆตัว หลายคนคงชี้ไปยังห้องน้ำ หรือไม่ก็ลูกบิดที่แสนจะไกลตัวซะเหลือเกิน แต่ที่แท้จริงแล้วมันใกล้มากกว่านั้น หรืออาจเป็นเพราะมันแนบชิดสนิทติดตัวซะจนเรามองข้ามมันไป มาดูกันว่า "รายงาน 10 อันดับสิ่งสกปรกที่ถูกใช้บ่อยมากที่สุด" นั้นมีอะไรบ้าง
     10. ฟองน้ำล้างจาน         ด้วยวัสดุและรูป ลักษณ์ของมันที่เต็มไปด้วยรูพรุนที่สามารถใหน้ำ อากาศ ออกซิเจน เศษอาหารเข้าไปอาศัยอยู่ จึงเป็นแหล่งชุมชนแออัดของเหล่าเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี วิธีทำความสะอาดง่ายๆก็คือ เอาไปต้มหรือให้ความร้อนผ่านไมโครเวฟซัก 60 วินาที

    
9. ซิ้งค์อ่างล้างจาน         เห็นสะอาดอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะสะอาด ถึงจะไม่ได้ใช้บ่อยเท่าอย่างอื่น แต่มันเป็นบริเวณที่สกปรกที่สุดในบ้าน ซึ่งแต่ละตารางนิ้วนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 500,000 ตัว วิธีทำความสะอาดขจัดคราบที่คู่ควรกับตัวเลขห้าแสนนี้ ก็คือ ใช้โซดาไฟหรือน้ำส้มสายชูราดทำความสะอาดมันซะ แล้วตามด้วยน้ำเปล่าตามไปอีกที

   
8. อ่างอาบน้ำ         อ่างอาบน้ำเป็นรังเพาะเชื้อโรคชั้นดีที่หลายคนมองข้ามไป รู้อย่างนั้นแล้วเราจึงควรทำความสะอาดมันสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย
    7. รีโมททีวี
         อุปกรณ์บันเทิงประจำ ครัวเรือนที่เรามักจะลืมทำความสะอาดมัน ทั้งๆ ที่เราออกจะหยิบสอยใช้มันออกจะบ่อย ทำความสะอาดบ้านครั้งหน้าก็อย่าลืมหยิบรีโมทไปเช็ดถูกันบ้างนะ
    6. ตะกร้าช้อปปิ้ง
        ห้างสรรพสินค้ามีทุกสิ่งให้คุณเลือกสรร ฉันใดก็ฉันนั้น ตะกร้าช้อปปิ้งในห้างก็มีทุกสิ่งให้เชื้อโรคเลือกที่จะอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะมาจากสินค้าที่อยู่ในห้างเอง เช่น ของสด ของแห้ง สารเคมี หรือมาจากมือของท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน ที่พึ่งจับราวบันไดเลื่อน หรือพึ่งออกมาจากห้องน้ำห้างมา
    5. ฝาที่นั่งชักโครก
         ความจริงมันน่าจะสกปรกได้มากกว่านี้รึเปล่า แต่รู้หรือไม่ว่าฝาที่นั่งชักโครกนั้นมีการออกแบบวัสดุและพื้นผิว ให้ง่ายต่อการทำความสะอาดและยากที่เชื้อโรคจะอาศัยอยู่ แถมเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ ในการทำความสะอาดอยู่เสมอ (ไม่เอื้ออำนวยขนาดนั้นก็ยังติด 1 ใน 10) โดยรายงานระบุว่า ทุกตารางนิ้วบนฝานั่งชักโครกมีเชื้อโรคอาศัยอยู่ถึง 295 ตัว
    4. โทรศัพท์มือถือ
        โทรศัพท์มือถือ เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ราคาแพงสำหรับเชื้อโรคเลยก็ว่าได้ ด้วยความเป็นพื้นที่สมบูรณ์ เพียบพร้อมไปด้วยปัจจัยความเจริญของเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิอุ่นๆ เหมือนร่างกายมนุษย์ที่เชื้อโรคชอบ พร้อมซอกซอยร่องหลืบง่ายต่อการกบดานหลบหนี พร้อมพรั่งด้วยโภชนาการและอาหารจากน้ำลายและขี้ไคลมนุษย์ ถ้าโทรศัพท์มีชีวิตเราอาจต้องพามันไปโรงพยาบาลเพื่อฉีดยาแทนที่จะไปมาบุญ ครองเพื่อไปซ่อมมันก็เป็นได้
    3. คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์        คนติดคอม ติดเนทหลายๆคน คงคุ้นชินกับพฤติกรรมการกินขนมขบเคี้ยว หรือแม้กระทั่งกินอาหารมื้อหลักหน้าจอคอมพ์ หรือแม้กระทั่งสาวๆเองที่ชอบหวีผมแต่งหน้าบนโต๊ะทำงาน เวลาว่างก็เม้าท์พ่นไฟแชทหน้าเวบแคม รู้หรือไม่ ว่าคีย์บอร์ดนั้นเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี โดยเฉพาะเศษอาหาร ผิวหนัง เหงื่อไคลต่างๆ ที่ผู้ใช้คอมทำตกลงไปในคีย์บอร์ดแล้วไม่ค่อยให้ความสนใจ เนื่องจากเพราะมันตกลงไปในร่อง ทำให้ยากต่อการมองเห็นว่าสกปรกและยากต่อการทำความสะอาด เป็นที่มาว่าทำไมจึงไม่มีใครสนใจ จะทำความสะอาดกันเท่าไหร่นัก จึงทำให้คีย์บอร์ดกลายเป็นแหล่งหมักหมมเพาะพันธุ์เชื้อโรคชั้นดี รายงานระบุว่าคีย์บอร์ดที่ได้รับการสำรวจนั้นสกปรกกว่าฝานั่งชักโครกถึง 40 เท่า แต่ถึงขนาดต้องใช้วิกซอลเข้มข้น 40 เท่าราดคีย์บอร์ดเพื่อทำความสะอาดด้วยรึเปล่ารายงานไม่ได้ระบุไว้
    2. สวิตช์เปิด/ปิดไฟ
        "สุขภาพวันนี้...ต้องเล่นกับไฟ" วัตถุที่มนุษย์สัมผัสบ่อยมากเท่าไหร่ เชื้อโรคก็ชอบตามไปอยู่มากเท่านั้น โดยเฉพาะปุ่มสวิทปิดเปิดไฟที่ต้องกดกันอยู่ทุกวัน ผู้เชี่ยวชาญเผยทุกๆ ตารางนิ้วบนสวิตช์ไฟที่เราเอานิ้วไปโดน เชื้อโรคสามารถย้ายสำมโนครัวตามติดมือไปได้ถึง 217 ตัว
    1. เงิน ได้แก่ ธนบัตร เหรียญ
          แบงค์ที่เราหยิบจ่ายซื้อของกันอยู่ทุกวันนี้ มีเชื้อโรคอยู่ประมาณ 135,000 ตัว ถึงจะเชื่อว่าใครๆก็อยากมีเงินเยอะๆ จะได้รวยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องสะสมเชื้อโรคไปตามความรวยด้วยนะ
ที่มา ... Top Ten Thailand

วิธีการพกเงินก็บอกความเป็นตัวคุณได้เหมือนกันนะ

ซ่อนเร้น
ถ้า คุณซ่อนเงินไว้ในเข็มขัด ในซอกลับของกระเป๋าเงิน หรือกระเป๋าถือ แสดงว่าคุณเป็นคนระมัดระวังมากพิถีพิถันพิจารณา ตัดสินใจอะไรรอบคอบ ควบคุมตัวเองได้อย่างมีระเบียบวินัย เวลานัดกับใครไม่เคยล่าช้า หรือผิดเวลา
 แยกกันเป็นระเบียบ
ถ้า คุณจัดธนบัตรแยกตามค่าเงินเป็นระเบียบเรียบร้อยใส่กระเป๋าสตางค์ และแยกเหรียญไว้อีกทางหนึ่งเพื่อใช้จ่ายย่อย คุณเป็นคนที่มีเหตุมีผล รู้จักความพอดี ไม่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาเท่าไหร่ ใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่าเงินทอง
มัดเป็นปึก
คุณ ชอบพกเงินสดมัดเป็นปึกใหญ่แล้วดึงออกมาใช้ทีละใบ แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีจิตใจไม่เคยทุกข์ร้อนอะไร รักชีวิต และมีอารมณ์ขันมาก มีความกระตือรือร้นอย่างสูง และชอบผจญภัยใหม่ๆ แปลกๆ โดยไม่หวั่นกลัวแต่อย่างไร
 ใช้คลิปเหน็บ(เห็นใครน้า..ชอบใช้วิธีนี้)
ถ้า คุณใช้คลิปเปอร์หรือที่เหน็บธนบัตรไว้ เวลาใช้จ่ายก็ดึงออกมา บ่งบอกว่าคุณเป็นคนรักครอบครัวมาก ไม่ชอบการเปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลงอะไรช้าๆ ชอบวิถีชีวิตเก่าตามขนบธรรมเนียมประเพณี
ทิ้งเกลื่อนกลาด
หาก คุณเก็บเงินสดธนบัตรไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง ขึ้นอยู่กับเอาไว้หยิบฉวยจ่ายสะดวกเมื่อไร เช่นใส่ในกระเป๋าเงินหลายใบ ทิ้งไว้บนโต๊ะ บนเคาน์เตอร์ เป็นต้น สะท้อนบุคลิกของคุณออกมาว่าไม่ยึดถืออะไรเป็นกฎเกณฑ์ ชอบชีวิตง่ายๆ ไม่ค่อยอินังขังขอบกับการใช้จ่ายเงิน บางทีทิ้งเงินไว้อย่างนี้ จนลืมไป เมื่อจะใช้จ่ายถึงนึกขึ้นได้ และเริ่มค้นหา จึงทำให้คุณเป็นคนเสาะแสวงหาอะไรได้รวดเร็ว และทำอะไรง่ายๆ ไม่จริงจังซีเรียสนัก
ชอบใส่เหรียญดังกุ๊งกิ๊ง
ถ้า หากคุณชอบพกเหรียญมากๆ ไว้ในกระเป๋า แสดงว่าคุณเป็นคนมานะพยายาม อดทนด้วยพลังงานสูง มักจะมีโครงการทำอะไรมากมาย ชอบชีวิตสนุกสนานหัวเราะร่วนเป็นประจำ ไม่เคยมีจิตใจอิจฉาริษยาใคร และจิตใจบริสุทธิ์เหมือนกับเด็กๆ
ชอบโชว์
ถ้า คุณชอบพกเงินสด มัดธนบัตรเป็นใหญ่ แต่ชอบควักมาโชว์ให้คนเห็นเป็นประจำ แล้วมักเอาแบงก์ราคามากไว้บน บ่งบอกว่าคุณเป็นคนเปิดเผย ชอบแสดงความรู้สึก และไม่สนใจว่าจะเป็นจุดเด่นในสายตาคน มีทรรศนะทางการเมืองที่รุนแรง
เป็น ไงบ้างเอ่ย ตรงหรือใกล้เคียงกันบ้างมั้ย แต่จะเก็บเงินกันวิธีใดก็แล้วแต่ คงไม่มีโทษมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับแน่ ก็เก็บเงินกันเยอะๆ นะจ๊ะ ใช้

สูตรดูแล...บำรุงผิวสวยเป็นประจำ

ในทุกๆ วัน สาวๆ ก็สามารถหาเวลาหลีกหนีจากความวุ่นวายให้ตัวคุณเองได้ผ่อนคลายและบำรุงผิวไป พร้อมๆ กันได้นะคะ สาวๆ หลายคนสนใจ ห่วงใยดูแลผิวหน้าของตัวเองเป็นพิเศษ บางครั้งอาจจะละเลยจนกลายเป็นมองข้ามการดูแลผิวกาย ซึ่งก็ต้องการการบำรุงและการทำความสะอาดอย่างล้ำลึกไม่แพ้กัน
    MORE THAN A SHOWER        วิธีการทำความสะอาดผิวกาย นอกจากการอาบน้ำคือการขัดผิวหรือ สครับ ซึ่งเป็นกระบวนการกำจัดเซลล์ผิวส่วนที่ตายแล้วหรือเสื่อมสภาพในขณะเดียวกัน ก็ยังช่วยขจัดสารพิษและของเสียอื่นๆ ที่ตกค้างบนผิวชั้นนอกไปพร้อมกันด้วย เพื่อให้เซลล์ผิว สร้างผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ไม่ทำให้ผิวเกิดการอุดตันซึ่งมีผลทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรีย ให้ผิวได้หายใจ ทำให้ผิวกระจ่างใส นุ่มเนียน ส่วนการขัดถูผิวนั้นก็ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้น และทำให้รู้สึกผ่อนคลายไปด้วยในตัว

    HOW OFTEN DO WE NEED IT ?
        อย่างที่ทราบกันดี สำหรับผิวหน้าเราควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และสำหรับผิวกายควรทำเดือนละ 1 ครั้ง ถ้าใครที่มีปัญหาเรื่องเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนที่เป็นบ่อยขึ้น สามารถทำได้ทุกวันโดยอาจใช้ถุงมือผ้าสำหรับอาบน้ำนวดขัดผิว บริเวณที่มีปัญหาทุกครั้งที่อาบน้ำ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

    DON'T DO THAT !
        การขัดผิวที่มากเกินไปจะทำให้ผิวระคายเคือง บอบบาง แพ้ง่าย หากเรากำจัดเซลล์ผิวชั้นบนออกบ่อยเกินไป จะทำให้ผิวไม่มีส่วนปกป้องจนไวต่อสิ่งต่างๆ ที่มากระทบได้ง่าย เพราะฉะนั้นไม่ควรขัดผิวบ่อยนัก และที่สำคัญคือ ไม่ควรออกแรงขัดจนผิวถลอกแดง

   
HOW TO DO EASY SCRUB ?        สครับผิวนั้นมีหลายวิธี เราสามารถทำได้เองที่บ้านโดยใช้ใยธรรมชาติ เช่น ใช้ใยบวบขัดเบาๆ ระหว่างอาบน้ำ หรือใช้ครีมขัดผิวที่มีส่วนผสมของเกลือเม็ดเล็กๆ ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิว ควรเลือกใช้เป็นชนิดครีมหรือเจล ส่วนประกอบสำหรับขัดถูในเนื้อครีมควรมีลักษณะเป็นเม็ดกลม และเป็นเม็ดบีดส์จากพืชธรรมชาติ

    ALMOND BODY MASK IS A GOOD CHOICE !
         การไปสปาเพื่อขัดผิวนั้นถือเป็นการพักผ่อนและให้รางวัลตัวเองในวันหยุดอัน แสนสบาย ช่วยให้เราผ่อนคลายจิตใจและบำรุงผิวพรรณไปด้วย ควรเลือกสปาที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและประกอบด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะอ่อนโยนต่อผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกพร้อมปรับสภาพผิวที่ขาดการบำรุงด้วยน้ำผึ้ง บริสุทธิ์ และน้ำมันหอมระเหย essential oil จากเกสรดอกไม้หลายชนิด ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นเย็นสบาย มี Almond Meal และ Oatmeal ที่อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมันจำเป็น ช่วยดูดซับความมันและทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น แถมเพิ่มประสิทธิภาพโดยการห่อผิวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารของ เซลล์ผิว หลังจากนั้นคงความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยครีมบำรุงผิว แนะนำให้ลองสูตรที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากสาหร่ายและสมุนไพร เพื่อช่วยฟื้นบำรุงสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น

        
สาวๆ ลองหัดปรนนิบัติดูแลผิวกายให้สดใสกันบ้างนะคะ เพื่อผิวสวยจะได้คงอยู่กับเราไปนานๆ ไม่ใช่เพียงแต่ใบหน้าเท่านั้น จะได้ไม่ต้องหันมาพึ่งเจลกระชับผิวราคาหลอดละหลายบาทกันยังไงล่ะคะ
ที่มา ... lauriermybrand.com 

สุขแบบชาวบ้าน


สุขแบบชาวบ้าน

       ชาวบ้าน คือ ผู้ครองเรือน หรือคฤหัสถ์นั้น นอกจากจะต้องขยันหาทรัพย์แล้ว ยังจะต้องมีส่วนประกอบอื่นเพื่อให้บรรลุความสุข ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

         พระพุทธองค์จึงได้ตรัสถึงความสุขแบบชาวบ้าน ซึ่งปรากฏอยู่ในอันนนาถสูตร (๒๑/๗๙) เพื่อช่วยเสริมให้ชีวิตฆราวาส ได้มีความสุขยิ่งขึ้นไป มี ๔ ประการ ดังนี้

         ๑. อัตถิสุข คือ ความสุขอันเกิดจากการมีทรัพย์ ความภูมิใจ มีความอุ่นใจ มีความสุขใจ ที่ตนมีโภคทรัพย์ที่หามาได้ด้วยลำแข้ง และโดยความสุจริต เป็นต้น

         ๒. โภคสุข คือ ความสุขอันเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์ มีความภูมิใจว่า ตนได้ใช้จ่ายทรัพทย์นั้น ที่หามาได้โดยชอบธรรม เลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัว เลี้ยงพ่อแม่ เลี้ยงผู้ที่ควรเลี้ยง ตลอดจนได้บำเพ็ญกุศลต่างๆ เป็นต้น

         ๓. อนณสุข คือ ความสุขอันเกิดจากความไม่มีหนี้สิน มีความอิ่มใจ มีความภฺมิใจ มีความสุขใจว่าตนเป็นไท ไปไหนมาไหนอย่างเชิดหน้าชูตา ไม่ต้องหลบเจ้าหนี้ เป็นต้น

         ๔. อนวัชชสุข คือ ความสุขอันเกิดจากการกระทำการงานอันไม่มีโทษ มีความภฺมิใจ มีความอิ่มใจสุขใจ ว่าตนประพฤติสุจริต ไม่มีความบกพร่องเสียหายให้ต้องระแวงว่าคนอื่นจะท้วงจะกล่าวหาในทางทุจริต เป็นต้น

         บางคนมีทรัพย์มาก แต่ไม่มีความสุขภูมิใจในทรัพย์เหล่านั้น เพราะตนไม่ได้หามาเอง หรือมีส่วนเป็นเจ้าของ ก็จะเป็นเพียง "หุ้นลม" เสียมากกว่า เพระยังไม่เป็นสัดส่วนของตนโดยเฉพาะ คือยังไม่อิสระในทรัพย์สินเหล่านั้น

         การมีโภคทรัพย์ แล้วไม่จับจ่ายใช้สอย ในสิ่งที่ควรใช้ควรสอยมันก็ไม่มีความสุข เหมือนเจว็ดในศาลเจ้า มีก็เหมือนไม่มี การได้ใช้จ่ายทรัพย์ในทางที่ควรจ่าย จึงจัดว่าเป็นความสุขชนิดหนึ่งของคน

         คนที่ไม่เคยเป็นหนี้สินใคร หรือใครที่ไม่เคยเป็นหนี้ที่ถูกเจ้าหนี้ขีดเส้นตาย โดยที่ตัวไม่มีทางจะใช้หนี้ได้นั้น ย่อมจะไม่ซึ้งถึงทุกข์ภัยของการเป็นหนี้ ขนาดคนมีเงินหรือทรัพย์สินเป็นล้านๆ ก็ยังมีข่าวว่ายังต้องฆ่าตัวตายหนีหนี้ ดังนั้น การไม่มีหนี้สินใคร จึงจัดว่าเป็นความสุขใจอย่างหนึ่ง แม้ว่าจะยากจนก็ตาม

         การประกอบการงานที่มีโทษ คือผิดกฎหมายและศีลธรรมนั้น แม้ว่าจะมั่งมีทรัพย์สินเงินทองปานใด ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะภูมิใจในทรัพย์สินเหล่านั้น และมันก็ย่อมจะหาความสุขใจอย่างแท้จริงไม่ได้ อย่างมากจะทำได้ก็เพียง "หน้าชื่นอกตรม" อุปมาเหมือนการเล่นละครเท่านั้น จะอยู่ที่ไหน ? จะไปที่ไหน ? แม้ว่าจะมีมือปืนคุ้มกัน ก็มีแต่ความหวาดระแวง หาความสงบใจหรือสุขใจไม่ได้เลย...

กินแป้งได้ โดยไม่ให้อ้วน

ความเชื่อหนึ่ง ที่ฮิตกันมากเวลาเราจะลดความอ้วน นั้นคือการงดทานแป้งและน้ำตาล หรือ ลดสัดส่วนในการทานลงมาก ๆ แต่รู้หรือไม่สาเหตุนั้นเป็นเพราะอะไร
       
เหตุผล ที่ว่านั้น เป็นเพราะอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลนั้น เมื่อเราทานเข้าไป ร่างกายจะย่อยสลายกลายเป็นกลูโคส โดยมีอินซูลิน หรือตัวควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ถูกผลิตขึ้นโดยตับอ่อน เป็นตัวดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อนำไปสร้างเป็นพลังงานให้กับร่างกาย
        แต่ปัญหามันอยู่ที่ เมื่อร่างกายมีปริมาณน้ำตาลมากกว่าปกติ มากกว่าจนอินซูลินไม่สามารถดูดซึมได้อีกต่อไป อินซูลินจะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเอนไซม์ชนิดหนึ่งขึ้นมา แปรสภาพกลูโคสให้เป็นไกลโคเจนเข้าไปเก็บสะสมที่ตับและกล้ามเนื้อ แต่ถ้าหากยังเก็บได้ไม่หมดอีก ทีนี้กลูโคสจะถูกแปรสภาพกลายเป็นไขมันเก็บสะสมไว้ในร่างกายเราแทน

        เห็นแล้วใช่ไหมว่า ว่าทำไมความที่เป็นโรคอ้วน นอกจากไขมันจะพอกพูนจากอาหารที่มีไขมันสูงแล้ว ยังสามารถเกิดได้จากการรับประทานอาหารรสหวานเป็นประจำ และคนที่อ้วนก็มักจะเป็นโรคเบาหวานเป็นของแถมตามมาด้วย

       
ดังนั้น หนทางสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วนหรือลดน้ำหนัก คือต้องทานอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมันให้น้อยลง
        แต่ขณะเดียวกัน ก็มีทางเลือกเสริมเพื่อให้การทานแป้งและน้ำตาล มีประโยชน์ต่อร่างกายเรามากขึ้น

ทานแป้งอย่างไร ไม่ให้อ้วน  

      มีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน นั่นคือ

        การเลือกกินแป้งและน้ำตาล ที่มีดัชนี ไกลซีมิก ต่ำ ดัชนี ไกลซีมิก จะเป็นตัววัดว่า อาหารพวกแป้งและน้ำตาลนี้จะมีผลต่อระดับของกลูโคสในเลือดอย่างไร หากมีค่าไกลซีมิกสูงเท่าไร ระดับกลูโคสในเลือดก็เพิ่มขึ้นเร็วเท่านั้น

        โดยปกติ กลูโคสจะถือว่ามีค่าไกลซีมิกอยู่ที่ 100 ส่วนแป้งและน้ำตาลอื่น ๆ ก็มีค่าน้อยลงลดหลั่นลงมา หากอาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกว่า 55 ถือว่ามีค่าไกลซีมิกต่ำ ส่วนระดับ 55-70 จัดว่ามีค่าอยู่ขั้นปานกลาง และระดับที่สูงกว่า 70 จัดอยู่ในขั้นสูง

         ดังนั้น หากไม่อยากให้เกิดระดับกลูโคสในเลือดสูงเกินไป ก็เลือกกินแป้งและน้ำตาลที่มีค่าไกลซีมิกต่ำนั่นเอง
ตัวอย่าง แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกสูง เช่น ขนมปัง (แม้แต่โฮลวีทที่มีวิตามินเยอะก็สูง) วัฟเฟิล แครกเกอร์ ข้าวขัดขาว มันฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็น เฟรนฟราย หรือ อบ

        ตัวอย่าง แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกต่ำ เช่น พวกแป้งและน้ำตาลที่อยู่ในถั่วโดยส่วนใหญ่ น้ำตาลในผลไม้ ข้าวซ้อมมือ พาสต้า หรือ สปาเก็ตตี้

        ทำไมจึงต้องเลือกทานอาหารตามค่าดัชนีไกลซีมิก เป็นเพราะปัญหาที่เกิดขึ้นของการทานอาหารที่มีดัชนีไกลซีมิกสูง ๆ คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการฟอกสีและกระบวนการผลิต ที่ทำให้อาหารที่มีค่า ไกลซีมิก ต่ำกลายเป็นอาหารที่มีค่าไกลซีมิก สูง อย่างเช่น พวกแป้งขัดขาวที่นำมาทำเป็นขนมปัง เป็นต้น

        เคยสังเกตถึงคนชาวพื้นเมืองของอเมริกัน ที่แต่เดิมกินพวก หัวเผือกหัวมัน ถั่ว ข้าวโพด อาหารที่เส้นใย ผลไม้ ซึ่งมีค่าไกลซีมิกต่ำ แต่เมื่อพวกนี้เปลี่ยนมากินอาหารแบบคนเมือง คือ อาหารฟาสฟู๊ด น้ำอัดลม ขนมอบต่าง ๆ ปรากฏว่า กลายเป็นคนอ้วนไปต่าม ๆ กัน พร้อมทั้งมีปัญหาโรคเบาหวานมากขึ้น ดังนั้น ไม่ถึงกับต้องงดหรือลดการทานแป้งและน้ำตาลทั้งหมด แต่ให้เลือกอาหารพวกที่มีค่าไกลซีมิกต่ำ เป็นหลัก ก็สามารถช่วยลดจำนวนน้ำตาลที่จะสะสมในร่างกายได้

        การออกกำลังกาย สิ่งสำคัญอีกอย่าง ที่ควรทำควบคู่ไปกับการควบคุมปริมาณอาหาร นอกจากนี้การออกกำลังกายจะไปกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งคือ กลูคากอน ซึ่งมีหน้าที่ในการรักษาระดับของกลูโคสในเลือดไม่ให้ต่ำเกินไป โดยการไปสลายไกลโครเจนที่สะสมไว้เป็นกลูโคส รวมไปถึงการดึงเอาไขมันที่สะสมออกมาใช้ด้วย การออกกำลังกายจึงช่วยให้ความอ้วนผอมลงได้ และปริมาณน้ำหนักก็จะลดลงด้วยเช่นเดียวกัน

         ใครที่ต้องการลดความอ้วน ลองนำเอาหลักนี้ไปใช้ดู เลือกทานอาหารอย่างรู้ทัน ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ แค่นี้ก็จะมีหุ่นที่ผอมเพรียวได้ดั่งใจแล้ว

ยอดอาหารบำรุงสมองก่อนสอบ

5 วัตถุดิบชั้นยอด!! หยิบบรรจุลงเมนู ช่วยเติมความแข็งแรงให้ “สมอง” กระตุ้นความคิดพิชิตสอบ

ปลาซาร์ดีน
อุดมด้วยโอเมก้า 3 ปริมาณสูง โดยผลวิจัยจากสหรัฐฯ พบว่า กรดไขมันดีเอชเอ (DHA) ในโอเมก้า 3 สำคัญต่อการพัฒนาสมองส่วนความจำ และการเรียนรู้ ทั้งยังพบว่า กรดไขมันชนิดนี้เป็นส่วนประกอบของเซลล์สมองถึง 65% ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเอง แต่ได้จากอาหารที่บริโภค เช่น ปลา นอกจากนี้ การรับประทานปลาซาร์ดีนเป็นประจำยังสามารถลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดและ หัวใจได้ สำหรับเมนูแนะนำทำง่าย อาทิ ปลาซาร์ดีนผัดซอสมะเขือเทศ ข้าวผัดปลาซาร์ดีน พาสต้าปลาซาร์ดีน เป็นต้น

ไข่ ภาย ในบรรจุโคลีน สารอาหารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์สมอง มีผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ ซึ่งไข่แดงจัดเป็นอาหารที่ให้โคลีนมากที่สุดชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ ยังช่วยลดการเสื่อมของเซลล์สมองซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ด้วย

ข้าวโอ๊ต โดยฟอสฟาติดิลโคลีนที่พบในเลซิติน จะช่วยด้านความจำ นอกจากนี้ ข้าวโอ๊ตยังเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานสูงไขมันต่ำ มีวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยมาก ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือดทำให้ไม่หิวระหว่างมื้อบ่อย ๆ

วอลนัต ประกอบ ด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ รวมทั้งวิตามินบีที่ให้พลังงาน และพัฒนาการทำงานของสมอง ทั้งนี้ ผลวิจัยจากต่างประเทศ พบว่า วอลนัตยังช่วยเพิ่มความสามารถของสมองจากการต้านสารอนุมูลอิสระไม่ให้ทำลาย เซลล์สมองได้

กล้วย มีวิตามินบี 6 ช่วยให้การสื่อสารระหว่างกล้ามเนื้อกับเส้นประสาทเป็นไปได้สะดวก ทั้งยังช่วยให้สมองผลิตสารเซโรโทนินที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายความวิตกกังวลได้
อย่างไรก็ตาม หากรับประทานเป็นประจำได้ยิ่งดีมีประโยชน์ เพื่อสมองกระฉับกระเฉง ฟิตพร้อมสำหรับการเรียนรู้ทุกวัน.

แค่นอน..ก็สวยได้

ใคร ๆ ก็ชอบนอน ยิ่งคนที่ทำงานเยอะ หรือนักท่องราตรีทั้งหลาย ถ้ามีเวลาให้ซักหน่อยล่ะก็ ต้องขอนอนของีบกลางวันกันบ้าง
นอก จากการนอน จะเป็นการหยุดพักให้ร่างกายได้มีการฟื้นฟูสภาพจากการกรำศึกหนัก ทั้งเรื่องงานหรือเรื่องเรียนมาทั้งวัน ยังมีผลให้คุณผู้หญิงเราแลดูดี และดูสวยขึ้นได้

ที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าเซลล์ในร่างกายจะได้รับการซ่อมแซมอวัยวะสึกหรอต่าง ๆ จากการใช้พลังงานมาทั้งวัน โดยเฉพาะผิวหนังที่ปกติ

จะทำหน้าที่ระบายของเสีย เมื่อนอนน้อย ผิวเราก็จะทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เซลล์ต่าง ๆ ไม่ได้ถูกฟื้นฟู จึงทำให้มีสิวผุดขึ้นที่ใบหน้า หน้าโทรม มีรอยคล้ำใต้ตาเป็นหมีแพนด้า นั่นเอง

ดัง นั้นการนอนที่มีประสิทธิภาพควรจะนอนให้ได้วันละ 8 – 10 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ และควรเข้านอนตั้งแต่ 3 ทุ่ม เพราะจะเริ่มมีการฟื้นฟูสภาพร่างกายต่าง ๆ ทั้งอวัยวะภายในและภายนอก เมื่อภายในดี ภายนอกก็จะดีไปด้วย


นอก จากจะนอนให้พอแล้ว ลองมาดูวิธีของนพ.กฤษธิพร เพ็งสุข ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผิวหนังและสุขภาพความงาม ที่ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการนอน เพื่อให้การนอนของเราไม่สูญเปล่า มันก็ต้องมีเทคนิควิธีกันหน่อย

เทคนิคที่ว่านี้ คุณหมอบอกว่า การนอนหงายเป็นท่านอนที่หลีกเลี่ยงการริ้วรอยบนใบหน้าได้ดีที่สุด การนอนตะแคงหรือการนอกคว่ำหน้านาน ๆ จะทำให้เกิดแรงกดทับ ก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า โดยเฉพาะที่แก้มและคาง นอกจากนี้การนอนคว่ำยังทำให้เกิดรอยตีนกาได้ง่าย เนื่องจากผิวบริเวณโดยรอบดวงตาบอบบางและเกิดริ้วรอยได้ง่าย


และ ที่สำคัญที่ต้องยกให้เป็นท่านอนหงาย เพราะว่าเป็นท่าที่ดีต่อสุขภาพ ไม่มีอะไรมากดทับหน้าอก ช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้คล่องตัวที่สุด เมื่อนอนหงายกระดูกสันหลังได้รับการรองรับจากที่นอน ทำให้สามารถวางอยู่ในแนวธรรมชาติได้ดีที่สุด และจะให้ดียิ่งขึ้นใช้หมอนใบเล็กรองใต้คอแทนการหนุนใต้ศีรษะได้ยิ่งดี


รู้เคล็ดลับการนอนเพื่อความสวยแล้ว น่านำไปปฏิบัติกันดู นอกจากร่างกายเราจะดีด้วยแล้ว ยังได้ความสวยกลับมาเป็นของแถมอีกด้วย

น้ำ มากเกินไปก็ไม่ดี

ก่อนหน้านี้เรามักจะ ได้ยินคำแนะนำที่ว่า "การดื่มน้ำมาก ๆ นั้นดีต่อร่างกาย" แต่ดูเหมือนว่าคำแนะนำนี้จะค่อนข้างใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว


ทั้งนี้เนื่องจากว่าในระยะหลังมานี้มีข้อโต้แย้งคำแนะนำดังกล่าวนี้มากขึ้น โดยดร.สแตนลีย์ โกลด์ฟาร์บ และดร.แดน เนกัวนู จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ ได้ตรวจสอบเอกสารทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลต่อสุขภาพจากการดื่มน้ำปริมาณมาก ในแต่ละวัน
ทั้งคู่ พบว่า คนที่อยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงนักกีฬาอาจต้องการน้ำมากกว่าคนอื่น ขณะที่คนที่ป่วยเป็นโรคบางโรคควรดื่มน้ำมากๆ แต่สำหรับคนปกติ การกระทำดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นแต่อย่างใด
นอกจากนี้นักเคมีบำบัดของเยอรมันยังกล่าวว่า การดื่มน้ำที่มากเกินไปนั้นก็เป็นอันตรายเช่นกัน เช่นในหมู่นักกีฬาที่ดื่มน้ำมากเกินไปอาจจะทำให้โซเดียมในร่างกายลดลง แถมการดื่มน้ำมากเกินไปก็ยิ่งทำให้เกิดการกระหายน้ำมากขึ้นด้วย


แต่ ทั้งนี้การดื่มน้ำน้อยเกินไปก็ไม่เป็นผลดี เพราะอาจจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำได้ด้วย เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำในปริมาณที่พอดี ๆ คือ 6 - 8 แก้ว (ประมาณ 1.2 ลิตร) จะดีกว่าค่ะ

การทำร้ายกระดูกสันหลัง

กระดูกสันหลัง มีความสำคัญต่อบุคลิกภาพ วันนี้เราจึงนำวิธีการที่ทำร้ายกระดูกสันหลังมาบอกกัน...


  การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด
การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มี
ผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้
การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนาน ๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค มี
อาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
 การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัว
การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่า ๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย
การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง
 การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง
การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่า ๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้
การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อย ๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ
การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง
เพื่อนๆทราบถึงสาเหตุแล้ว ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้นะคะ แล้วดูแลรักษาอยู่เสมอนะคะ จะได้มีบุคลิกที่ดีอยู่เสมอ

วิ่งตามอะไรกันในชีวิต

มีเรื่องเล่าว่า... มีพระองค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ...
วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...

จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน...
ก่อนทอดกฐิน..ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา...
หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา...
บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย...
หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา...

ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ...
หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ...
พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี...
เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...
ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว...
โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...น่าสงสารหมามาก...


หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...
ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ...
หัวเราะเยาะหมา...ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้...
ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต...

หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว...
ก็แก้เชือกออกมากหลังหมา...
แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...


มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม...
ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...


เราอยากสวย...อยากทันสมัย...
ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่...
ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า...
อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่...
ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...


ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด...
๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...

ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก...
ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...
ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย...

เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...หาเงินมา...
เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย...
ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่...
เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส...
เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...


ปัจจุบัน...
เรากำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน...
ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน...
น่าสงสารไหมโยม...

คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น...
ด่าว่า...หมามันโง่...
ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...


ไม่รู้ว่า...กำลังสงสารหมา...
หรือ...กำลังทบทวนความโง่...ตัวเอง

ช่วงเวลานาทีทอง!!เหมาะทบทวนหนังสือ

ไขข้อข้องใจอ่านหนังสืออย่างไร “จำแม่นที่สุด” พร้อมบอกลาความงัวเงีย ตื่นเต็มตาด้วย “เทคนิคพิชิตง่วง”
เป็น ข้อสงสัยที่วัยเรียนส่วนใหญ่อยากไขคำตอบ กับคำถาม เวลาไหนเหมาะสำหรับการทบทวนหนังสือ? จะสังเกตว่า เมื่อความคิดของน้อง ๆ นิ่ง และไม่ฟุ้งซ่านกับเรื่องใด นั่นคือช่วง ที่ควรหยิบหนังสืออ่าน และจดจำเนื้อหาที่สุด ดังนั้น ยามเช้าหลังตื่นนอนก็ดี หรือแม้กระทั่งก่อนนอน ซึ่งพักผ่อนมาแล้วพอสมควร ก็เหมาะเช่นกัน ขณะที่ สภาพแวดล้อมในห้องยังสำคัญต่อการเรียนรู้ด้วย โดยการอ่านกับไฟสลัว ๆ ดวงตาจะทำงานหนัก เมื่อยล้าเร็ว จึงควรจัดแสงสว่างให้เพียงพอ นอกจากนั้น บรรยากาศที่สงบเงียบ ยังช่วยให้คิดได้เร็ว และมีสมาธิสูง
นอก จากนี้ ยังมีตัวช่วยคลายความงัวเงียอย่างถาวร ด้วยการตั้งเวลาตื่นที่แน่นอนเป็นประจำ เมื่อร่างกายคุ้นเคยจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
ไม่ ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกอีกต่อไป ทั้งยังตื่นด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มด้วย ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้ง่ายต่อการจัดเวลาอ่านหนังสือ จากนั้น ดื่มน้ำเปล่า ทำสมองปลอดโปร่ง พร้อมเปิดรับข้อมูล แต่สำหรับใครที่ชอบน้ำสมุนไพร แนะนำน้ำขิงอุ่น จิบปลุกความสดชื่น เรียกความกระปรี้กระเปร่าได้ หรือกระตุ้นร่างกายให้ตื่น โดยยืดเส้นยืดสายกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ ไหล่ แขน และฝ่ามือ ประมาณ 5-10 นาที เท่านี้ก็นั่งหลังตรงทบทวนหนังสือกันได้เลย
ทั้ง นี้ เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ น้อง ๆ ควรหมั่นปฏิบัติสม่ำเสมอ เพราะการค่อย ๆ สะสมความเข้าใจ จะช่วยให้สมองจดจำเนื้อหาเป็นระบบ เมื่อถึงเวลาสอบ จะสามารถดึงความรู้นั้นออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นเอง

10 ความเชื่อเรื่องสุขภาพ... ที่ไม่เคยจริง

เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของตัว เองและคนรอบตัวบ้างไหม เชื่อว่ากินอะไรแล้วจะไม่สบาย อยู่ในที่แบบไหนแล้วจะป่วย หรือยาแบบไหนไม่ดีต่อสุขภาพ หลาย ๆ ความเชื่อเป็นจริงค่ะ แต่อีกหลาย ๆ ความเชื่อก็เป็นเหมือนนิทานหลอกเด็ก และเพื่อไม่ให้โดนหลอก วันนี้ Momypedia จะมาช่วยยืนยัน 10 ความเชื่อเรื่องสุขภาพที่ไม่เป็นจริงให้ได้รู้กันค่ะ

1.การฉีดวัคซีนทำให้เป็นออทิสติก

          เหตุของความเชื่อนี้มาจากเมื่อปี 1998 มีผู้ปกครองของเด็กกลุ่มนี้ยื่นเรื่องฟ้องโรงพยาบาลที่พาลูกไปฉีดวัคซีน ป้องกันโรคหัดและคางทูม หลังจากนั้นเด็ก ๆ ก็เริ่มมีอาการของโรคออทิสติก ซึ่งทำให้มีการศึกษาถึงผลข้างเคียงของวัคซีนมาตลอดแต่ก็ไม่พบปัจจัยอะไรที่ ทำให้เกิดโรคดังกล่าว จึงเป็นไปได้ว่าการเกิดโรคออทิสติกในเด็กกลุ่มนั้นน่าจะเกิดจากการเลี้ยงดู หรืออาการแฝงที่มีมาตั้งแต่กำเนิดมากกว่า

2.วิตามินเสริมทำให้สุขภาพดียิ่งขึ้น

          หลายคนกินวิตามินเสริมมื้อละหลายอย่าง เช่น วิตามินบี ซี อี รวมไปถึงแคลเซียม เป็นต้น โดยเชื่อว่ายิ่งกินมากจะยิ่งทำให้สุขภาพดีมากขึ้น แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริง เพราะโดยปกติแล้วเราได้รับวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ พอดีกับความต้องการของร่างกายอยู่แล้วหากในแต่ละวันเรากินอาหารครบทั้ง 5 หมู่ และการกินอาหารเสริมอาจจะยิ่งทำให้ร่างกายได้รับอันตรายจากการได้รับวินามิ นและแร่ธาตุบางอย่างเกินความจำเป็น เช่น ได้รับวิตามินซีมากไปอาจทำให้ท้องเสีย มีกรดในกระเพาะสูง ปวดตามข้อ กระดูกพรุน ปวดศีรษะโลหิตจาง การลดลงของฮอร็โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน เป็นต้น 


 3.อากาศหนาวเย็นทำให้ไม่สบาย

          จริง ๆ อากาศหนาวเย็นไม่ได้ทำให้เราป่วยหรือเป็นหวัดอย่างที่คิด แต่การที่เราเป็นหวัดก็เนื่องมาจากร่างกายอ่อนแอและได้รับเชื้อไวรัสที่มี อยู่แทบทุกที่รอบตัว สังเกตได้จากหลาย ๆ คนที่อยู่ในที่หนาวเย็นโดยส่วนใหญ่ก็ยังสุขภาพดีได้ แต่เชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคนั้นแท้จริงอยู่ภายในบ้าน และในช่วงที่อากาศหนาวเย็นเราก็มักจะอยู่แต่ในบ้าน ไม่ค่อยออกกำลังกาย ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการรัไม่สบายได้ จริง ๆ แล้วมีผลการวิจัยว่าการได้รับอากาศหนาวเย็นบ้างยิ่งดีต่อสุขภาพ เพราะจะช่วยเพิ่มอัตราการเร่งของหัวใจ ทำให้ร่างกายอบอุ่น ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายได้ทำงานนั่นเอง

4.สมองของเราทำงานเพียง 10%

          มีการทดสอบด้วยการสแกนสมองในขณะที่มีการทำงาน ทำกิจกรรม หรือแม้แต่การหัวเราะ ผลปรากฏว่าสมองแทบทุกส่วนยังคงทำงานประสานกันเป็นปกติและตลอดเวลา ซึ่งไม่พบว่าจะมีสมองส่วนใดเลยที่หยุดนิ่ง ไม่ทำงาน หรือไม่ถูกกระตุ้น ดังนั้นความเชื่อนี้จึงไม่เป็นความจริง แต่การที่ยังคงมีความเชื่อนี้ ก็เนื่องมาจากความพยายามที่จะกระตุ้นให้เราพัฒนาทักษะความสามารถของตัวเอง ให้ถึงขีดสุด มากกว่าการหยุดขี้เกียจอยู่กับที่


5.น้ำตาลทำให้เด็กอาละวาด

          เชื่อกันว่าถ้าให้เด็ก ๆ กินของหวานเมื่อไหร่ เขาจะกระตือรือร้นจนเข้าขั้นอาละวาดไม่หยุดเลยทีเดียว ความเชื่อนี้ไม่เป็นความจริง แม้ว่าน้ำตาลทำให้เด็กตื่นตัวก็จริง แต่ก็ทำให้เด็กมีความสงบลงมากกว่าอารมณ์รุนแรง มีการวิเคราะห์ว่าความเชื่อดังกล่าวน่าจะมาการที่พ่อแม่เห็นเด็ก ๆ มารวมตัวกัน กินขนมและของหวาน และเล่นกันแบบควบคุมไม่อยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ได้มาจากผลของน้ำตาลโดยตรง แต่เป็นผลมาจากความกระตือรือร้นของเด็ก ๆ เองที่ได้กินขนมและได้สนุกกับเพื่อน ๆ มากกว่า

6.ต้องตื่นอยู่เสมอเมื่อได้รับอุบัติเหตุกระทบกระเทือนรุนแรง

          ไม่ใช่ทุกอุบัติเหตุที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองที่เราจะต้องตื่นอยู่ ตลอดเวลา หากได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ในเบื้องต้น เช่น การตรวจการการได้ยิน การเบิกตัวของม่านตา การพูดจา และการรับรู้ความรู้สึก เราก็สามารถหลับหรือหมดสติได้ตลอดเวลาโดยไม่มีอันตราย ซึ่งจะต่างจากการที่สมองได้รับการกระทบกระเทือนจากรถชน หรือล้มหัวฟาดอย่างรุนแรงที่มักจะได้รับการวินิจฉัยว่าจะต้องทำให้ตื่นตัว อยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดอาการขั้นโคม่าได้หากหมดสติไป

7.หมากฝรั่งจะอยู่ในท้องนานถึง 7 ปี หากเผลอกลืนเข้าไป

          หมากฝรั่งก็ไม่ต่างจากอาหารทั่วไปที่เรากินค่ะ แต่ที่ต่างคือ เมื่อกลืนลงท้องไปแล้วจะไม่ถูกย่อยเพราะน้ำย่อยในร่างกายไม่เหมาะกับการย่อย หมากฝรั่ง และหมากฝรั่งก็ไม่มีสารอาหารให้ร่างกายได้ดูดซึม สิ่งที่ร่างกายทำได้คือ การขับหมากฝรั่งออกมาพร้อมกับของเสียต่าง ๆ ตามกระบวนการขับถ่ายตามปกตินั่นเอง


8.อ่านหนังสือในที่มืด หรือนั่งดูทีวีใกล้ทำให้เสียสายตา

          จริง ๆ แล้วการทำเช่นนั้นไม่ใช่สาเหตุของการเกิดอาการสายตาสั้นอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ แต่อาการปวดตา แสบตา หรือปวดหัวจากการอ่านหนังสือในที่มืดหรือดูทีวีใกล้ ๆ มาจากการที่เราต้องเกร็ง หรือเพ่งเพื่อปรับโฟกัสในการใช้สายตาได้อย่างเต็มที่ และมองเห็นได้ชัดเจน แต่การนั่งดูทีวีใกล้ ๆ กลับเป็นอาการบ่งชี้ว่าเราอาจจะสายตาสั้นเสียมากกว่า

9.ควรดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว

          ความเชื่อนี้ดูจะทำให้คนทั่วโลกต้องทำตาม แต่จริง ๆ แล้วการที่ร่างกายต้องการน้ำวันละ 2.5 ลิตร (หรือประมาณ 8 แก้ว) นั้นไม่ใช่จากการดื่มน้ำสะอาดเพียงอย่างเดียว น้ำปริมาณ 2.5 ลิตรที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันนั้นยังรวมถึงน้ำจากอาหารต่าง ๆ ที่เรากินในแต่ละวันด้วย เช่น ข้าว ผลไม้ เป็นต้น แต่หากใครยังอยากดื่มน้ำวันละ 8 แก้วอยู่ก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยให้ผิวชุ่มชื่นและขับของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น

10.ว่ายน้ำหลังจากกินอิ่มทันทีจะทำให้เป็นตะคริว

          ความเชื่อนี้ทำให้หลายคนถึงกับเซ็ง เพราะแทนที่จะลงว่ายน้ำได้ทันทีหลังจากกินข้าวหรือของว่างได้เลย แต่กลับต้องรอจนหายอยาก ความเชื่อนี้ไม่เป็นความจริง เพราะตะคริวสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาไม่ว่าเราจะกินอิ่มหรือไม่ก็ตาม ตะคริวเกิดจากการที่กล้ามเนื้อมีการหดเกร็งหรือใช้กำลังมาก ๆ ดังนั้นควรวอร์มร่างกายก่อนลงน้ำทุกครั้ง การว่ายน้ำหลังจากกินอิ่มทันทีมักจะทำให้เกิดอาการเดียวคือ จุก เพราะคุณอาจจะกระโดดลงน้ำอย่างแรง หรือโหมว่ายหรือเล่นมากไปจนแรงดันของน้ำอาจทำให้เกิดอาการจุกได้มากกว่าเป็น ตะคริว

อันตรายของความผอม !

บางคนซีเรียสกับน้ำหนักตัวจนเกินไป ถึงกับต้องล้วงคอเพื่อให้อาเจียนเอาอาหารที่เพิ่งทานเข้าไปออกมา หรือที่เรียกว่า โรคบูลิเมีย เนอร์โวซา ขณะที่บางรายถึงกับจำกัดอาหาร ลดปริมาณให้น้อยที่สุด ลดจำนวนมื้อ เลือกกินอาหารเพียงบางหมวดหมู่ เพราะไม่ต้องการให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากทุกครั้งที่ส่องกระจกจะรู้สึกว่า ตัวเองอ้วนเกินไป ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว คนๆนั้นมีรูปร่างที่พอดีหรือผอมไปด้วยซ้ำ อย่างนี้เข้าข่าย โรคอะนอร์เร็กเซีย เนอร์โวซา ซึ่งเป็นโรคทางจิตเวชนั่นเอง
การลดน้ำหนักจำเป็นสำหรับคนที่ เป็นโรคอ้วนเพื่อลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพ แต่ถ้าน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมก็ไม่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก เพราะการที่ร่างกายผอมเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกาย 10 ระบบด้วยกัน ประกอบด้วย
‘ระบบประสาทและสมอง’ ความกังวลเรื่องน้ำหนัก ยังทำให้เป็นโรคซึมเศร้า หงุดหงิดและฉุนเฉียวง่าย ร่างกายอ่อนแอ จนเป็นลด หน้ามืด
‘เส้นผม’ คนผอมแล้วยังพยายามลดหุ่น เส้นผมจะเปราะขาดง่ายและไม่แข็งแรง เพราะขาดวิตามินและโปรตีน
‘ระบบหัวใจ’ หัวใจเต้นช้าหรือเร็วผิดปกติ เสี่ยงหัวใจวาย และความดันโลหิตต่ำ
‘ระบบเลือด’ การขาดสารอาหารในคนผอมมีผลให้โลหิตจาง
‘ระบบกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ’ กล้ามเนื้อจะอ่อนแรง กระดูกพรุน และกระดูกหักง่าย
‘ระบบไต’ ทำให้เกิดอาการไตวาย และนิ่วในไต
‘ระบบสารอาหารและสารน้ำในร่างกาย’ จะขาดเกลือแร่หลายชนิด อาทิ โซเดียม โปแตสเซียม และแมกนีเซียม
‘ระบบทางเดินอาหาร’ มักแปรปรวนให้ผู้นั้นมีอาการท้องอืด และท้องผูกบ่อยๆ
‘ระบบฮอร์โมนและต่อมไร้ท่อ’ เมื่อขาดสารอาหารจะทำให้ขาดฮอร์โมนเพศ โดยเฉพาะในเพศหญิง ประจำเดือนจะน้อยลงหรือขาดประจำเดือน มีบุตรยาก หากตั้งครรภ์ก็เสี่ยงแท้งบุตรง่าย บุตรน้ำหนักตัวน้อย กระดูกบาง ขาดโกรทฮอร์โมน ทำให้ร่างกายเติบช้า และอ่อนเพลีย
‘ผิวหนัง’ โดยสภาพผิวจะแห้งและบาง พบจ้ำเลือดได้ง่าย รวมถึงผิวเหลืองซีด ขี้หนาว เล็บเปราะบางแตกง่าย
และกรณีที่ควบคุมน้ำหนักด้วยการล้วงคอให้อาเจียนบ่อยๆ ก็ยังทำให้ผู้นั้นเกิดแผลในช่องปากและกระพุ้งแก้มฟันผุ และเกิดอาการเสียวฟัน เพราะถูกกรดในกระเพาะอาหารที่ย้อนขึ้นมากับอาเจียนกัดทำลาย
ผลเสียมีมากขนาดนี้ ถ้ามีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมแล้ว อย่าลดน้ำหนักให้เสียสุขภาพเลย.

เรามาอ้วนกันเถอะ : )

20 วิธีที่คุณควรลอง ถ้าอุปกรณ์เชื่อมต่อภายนอกของคุณไม่ทำงาน

20 วิธีที่คุณควรลอง ถ้าอุปกรณ์เชื่อมต่อภายนอกของคุณอยู่ๆ ก็ไม่ยอมทำงาน แม้ว่า plug 'n' play จะอยู่กับเรามากว่าทศวรรษแล้วก็ตาม แต่มันก็เบี้ยวเราประจำ

ก่อนที่จะโทรหาใคร... ลองตรวจสอบอะไรที่มันง่ายๆ ดูก่อนไหม...

1 ตรวจสอบเองก่อนได้หรือเปล่า

ถ้า คุณเคยเจอกับปัญหาแล้วโทรไปถามเทคนิคัลซัพพอร์ต พวกเขาชอบบอกให้คุณตรวจสอบเบื้องต้นโน่นนี่อยู่นั่นแหละ แต่เขาก็มีเหตุผลที่ดีนะ ผู้คนส่วนมากถึงมากที่สุดมักจะทำผิดโง่ๆ ซ้ำซากเหมือนกันไปหมด สายไฟก็ไม่ตรวจ สายเคเบิลก็ไม่ดู คู่มือก็ไม่ยอมอ่านอีก ฉะนั้นเนี่ย มันไม่ยากหรอก ถ้าคุณจะลองเอาโปรแกรมต่างๆ มาลงใหม่ตั้งแต่ต้นแล้วก็ลองตรวจหาข้อผิดพลาดในแต่ละส่วนด้วยตัวของคุณเอง ก่อน

2 สับขาหลอก

ลองเสียบอุปกรณ์ที่รองรับ USB เข้าไปในช่อง USB ต่างๆ ที่มีอยู่ อันนี้มันจะทำให้ Windows ติดตั้งไดรเวอร์สำหรับอุปกรณ์นั้นๆ ให้ใหม่

3 ระบบ USB

ถูก สร้างขึ้นมาให้เป็นชุดของช่องต่อที่ทำหน้าที่พูดคุยกับตัวควบคุมโฮสหลักใน PC ของคุณ คุณไปหาดูได้ว่ามันมีอะไรบ้าง ที่เซ็กชั่น USB ที่อยู่ใน Device Manager ให้ดับเบิลคลิกที่ฮับ ซึ่งตัวควบคุมโฮสหลักที่ควบคุมแบนด์วิดธ์และฮับจะรายงานระดับการใช้งานของ พลังไฟออกมาให้

4 หยุด! ได้เวลาราวีแล้ว!

ปัญหา ของไดรเวอร์มักจะลงเอยด้วยการกลายเป็นปัญหาระดับชาติเสมอ เช่น หน้าจอสีน้ำเงิน, อยู่ๆ ก็รีเซตตัวเอง หรือระบบถูกล็อกซะอย่างนั้น ถ้าปัญหาเหล่านี้มันเกิดขึ้นกับคุณ ให้จดไว้ด้วยว่าคุณทำอะไรอยู่ตอนที่ระบบพัง อันนี้จะช่วยบีบต้นตอของปัญหาที่อาจจะเป็นเหตุให้ระบบพังแคบลงได้

5 ขบวนการมนุษย์ไฟฟ้า

อุปกรณ์ ที่รองรับ USB สามารถดึงไฟจากบัสมาใช้ได้ แต่ส่วนมากมันอยากได้ไฟจากเพาเวอร์ซัพพลายภายนอกมากกว่า Windows XP จะมีรายงานความผิดพลาดออกมาให้ในกรณีที่ระบบไฟมีไม่พอ แต่คุณก็สามารถตรวจสอบช่องเสียบ Root Hub ได้เองด้วย

6 ชิดในด้วยพี่

กับ ไดรเวอร์ USB บางตัว ตัวที่มันเก่าๆ น่ะ เรามีเรื่องสุดฮาของมันจะเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับลำดับของการติดตั้งฮาร์ดแวร์ มันทำเหมือนอยากจะให้คุณเสียบอุปกรณ์ USB ตัวใหม่เข้าไปเลยแล้วค่อยลงไดรเวอร์ แต่มันจะเป็นเรื่องที่รอบคอบมากทีเดียวที่คุณจะอ่านคู่มือแล้วก็เริ่มติด ตั้งไดรเวอร์ลงไปก่อนเสมอ จากนั้นค่อยเสียบอุปกรณ์ USB ของคุณเข้าไป

7 สปีดขึ้นอีก

ถ้า คุณอยากจะใช้อุปกรณ์ที่รองรับ USB 2.0 ซึ่งมันเอาเร็วมากๆ คุณจะต้องมีช่องต่อแล้วก็สายเคเบิลที่รองรับ USB 2.0 ด้วย ไม่อย่างนั้นมันก็จะใช้ความเร็วได้ไม่เต็มที่หรือถูกจำกัดอยู่ที่ความเร็ว ที่เป็นของ USB 1.1 เท่านั้น

8 งานฝีมือ

เรื่อง นี้มันเคยถูกพูดถึงมาแล้ว และมันก็จะถูกพูดถึงอีกครั้ง แต่เรื่องที่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ Microsoft ได้ทำขึ้นมาก็คือ มันสนับสนุนให้ทุกๆ คนใช้ไดรเวอร์ที่ผ่านการรับรองจาก WHQL (อ่านว่า วิกเกิล) ซึ่งไดรเวอร์เหล่านี้เป็นไดรเวอร์ที่ถูกส่งไปที่ Windows Hardware Quality Labs ของ Microsoft และมันก็จะถูกทำให้ได้รับการยอมรับว่ามันมีความสเถียรพอ ไดรเวอร์อะไรก็ตามที่ติดตั้งด้วย Windows XP หรือมาจากอัพเดตไซต์นั้นจะผ่าน WHQL แล้ว ถ้าคุณมีปัญหากับอุปกรณ์เชื่อมต่อภายนอก เราอยากแนะนำว่าให้คุณลองติดตั้งไดรเวอร์ที่ได้รับการรับรองแล้วจาก WHQL ผ่านทางเว็บ Windows Update หรือจากเว็บไซต์ของผู้ผลิตเองก็ได้

9 แย่งกันเข้าไป

ถ้า คุณกำลังรับมืออยู่กับปัญหาการแย่งทรัพยากรของอุปกรณ์ มันยังมีเทคนิคอื่นๆ อีกสองสามอย่างที่น่าจะลองดู อันที่ใช้ได้บ่อยที่สุดก็คือ การที่คุณปิดพอร์ตซึ่งอยู่ใน BIOS ของคอมพิวเตอร์ของคุณ ทั้งซีเรียลพอร์ตและพาราเรลพอร์ต ซึ่งมันจะปลดทรัพยากรทั้งหลายออกมาให้คุณใช้งานได้

10 มอมแมม

เลนส์ ของหัวอ่านเลเซอร์ที่สกปรกสามารถทำให้เกิดปัญหาในการอ่านข้อมูล ขณะที่ชุดทำความสะอาดมาช่วยเราแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้ แต่ว่าปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากแผ่นที่เป็นรอย ลองซื้อ Manual CD Cleaner & Repairer ที่ www.maplin.co.uk มาใช้ดู

11 เสียงกระซิบจากความเงียบ

การ ดึงเสียงออกมาจากไดรฟ์ CD หรือ DVD ของคุณนั้น ทำได้สองวิธีคือ วิธีทั่วๆ ไปที่ใช้สายเคเบิลดึงข้อมูลแบบอะนาล็อกออกมาจากไดรฟ์แล้วส่งไปให้ซาวนด์ การ์ดของคุณทางช่องต่อ CD-IN ถ้าไม่มีเสียงอะไรออกมาแสดงว่ามันหาสายเคเบิลไม่เจอ อย่างไรก็ตาม ใน Device Manager คุณสามารถเลือกออพชั่นที่จะให้มันดึงข้อมูลออกมาในรูปแบบดิจิตอลได้ ซึ่งจะเป็นการดึงข้อมูลเสียงออกมาง่ายๆ ด้วยระบบดิจิตอล วิธีนี้จะช่วยมองหาสายเคเบิลให้คุณได้ในเบื้องต้น

12 นักเล่นแป้นพิมพ์

ถ้า เมาส์ของคุณไม่ทำงาน อย่าเพิ่งหมดหวัง ให้ใช้ปุ่ม [Tab], [Shift], [Alt] กับปุ่มลูกศรต่างๆ ในการเลื่อนไปมาบนหน้าจอ สำหรับการเปิดเมนูต่างๆ ให้กด [Alt] พร้อมกับตัวอักษรที่เป็นตัวเดียวกับที่ถูกขีดเส้นใต้ในเมนูบาร์ ใช้ปุ่มลูกศรในการเลื่อนไปมาบนเมนู ถ้าอยู่ในไดอะล็อกบ็อกซ์ ให้ใช้ [Tab] ในการเลื่อนไปมาของปุ่มต่างๆ โดยจะมีไฮไลต์เป็นตัวบอกตำแหน่ง แล้วกด [Enter] เมื่อถึงปุ่มที่ต้องการ

13 PS/2 งอน

มัน ก็ไม่ใช่ว่าจะเสียบแล้วเล่นได้เลยไปซะทุกอย่าง คุณจะเสียบคีย์บอร์ดเข้าไปในขณะที่ Windows XP หรือ 2000 กำลังทำงานอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณไม่ได้ คุณจะต้องบูตเครื่องของคุณหลังจากที่คียบอร์ดมันถูกเสียบอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นมันจะใช้งานไม่ได้

14 อ่านให้ออก

ไม่ บ่อยนักที่จะพบว่า CD ของเรานั้นมีหลากหลายรูปแบบ เพราะโดยปกติแล้วมันก็มีไม่กี่จำพวกหรอก อย่างไรก็ตามไดรฟ์ต่างๆ ก็สามารถจัดการกับทุกปัญหาทุกรูปแบบของการอ่านพวกมันได้ ในไดรฟ์ DVD รุ่นเก่าๆ ค่อนข้างที่จะรังเกียจฟอร์แมตใหม่ๆ อย่างเช่น DVD+R และ ดิสก์ RW เฟิร์มแวร์อัพเดตช่วยเราได้ในจุดนี้ โดยที่คุณจะต้องเขียนแผนที่ความเร็วต่ำๆ ซึ่งเราอยากแนะนำว่าอย่าไปซื้อของถูก ไม่มียี่ห้อ และไม่มีความเสถียรพอ

15 พิมพ์มันออกมา

เครื่อง พิมพ์อาจจะเป็นฮาร์ดแวร์ที่โง่เง่าที่สุดบนโลกนี้ แถมยังวุ่นวายแล้วก็เรื่องมากอีกต่างหาก ความเชื่องช้า เสียงดังน่ารำคาญ แล้วก็ค่าใช้จ่ายในการใช้งานที่สูง เราไม่ต้องไปวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้หรอก เราควรไปสนใจกับอะไรที่มันอาจจะทำงานผิดพลาดได้อย่างตัวเครื่องพิมพ์เอง ข้อมูลที่ใช้เชื่อมต่อ ไดรเวอร์ หรือ ระบบการพิมพ์ของ Windows ที่อยู่ใน Control Panel จะดีกว่า

16 จะลอยคอรอคอยไปทำไม

บาง ที Windows ก็ถือวิสาสะมาหยุดงานพิมพ์ของเราเอาดื้อๆ ตรวจสอบสถานะของมันจากไอคอนตัว print spooler ที่อยู่ใน System Tray เพื่อดูว่ามันทำงานไปถึงไหนแล้ว

17 ท่าเรือเล็กๆ ในพายุใหญ่

เครื่อง พิมพ์ที่มี USB ติดมาด้วยสามารถสร้างพอร์ตเสมือนต่างๆ ของเครื่องพิมพ์ได้ ซึ่งพวกมันจะถูกกำหนดไว้ใน Printers Control Panel ที่อยู่ในแท็บ Ports ดูให้แน่ใจว่ามันกำหนดเอาไว้ถูกพอร์ต ไม่ว่าจะเป็นพอร์ตเสมือน พาราเรล หรือ USB ก็ตาม

18 เอาอย่างที่มันเป็นนั้นแหละ

ถ้า ไม่มีกระดาษอะไรไหลออกมาที่ถาดลองกระดาษ ให้ตรวจดูว่าเครื่องพิมพ์ที่ใช้อยู่นั้นมันถูกกำหนดให้เป็นค่าดีฟอลต์หรือ ไม่ ตรวจดูการกำหนดค่าได้ใน Printers Control Panel

19 หนูนรก

ถ้า พอร์ต PS/2 ของคุณอยู่ๆ ก็ลาโลกไปซะอย่างนั้น เมาส์ของคุณก็จะไร้ค่าไปในบัดดล ให้ใช้คีย์บอร์ดในการเข้าไปที่ Accessibility Control Panel แล้วก็เปิดโหมด MouseKeys ซะ ซึ่งมันจะทำให้คุณสามารถใช้ตัวเลขในคีย์แพดในการควบคุมเมาส์ของคุณแทนได้

20 โลกคู่ขนาน

ปัญหา หลักอันหนึ่งที่คุณจะต้องรับมือในการใช้งานพาราเรลพอร์ตก็คือ การที่มันถูกปิดตัวใน BIOS หรือถูกกำหนดให้ทำงานช้าลง โดยปกติมักจะพบปัญหานี้ในการใช้งานอุปกรณ์ภายนอกต่างๆร่วมกัน ทางที่ดีที่สุดคุณควรกำหนดให้มันอยู่ในโหมด EPP โหมด ECP ก็มีความเร็วเท่ากันแต่ว่ามันจะต้องใช้ DMA channel เพิ่ม คุณยังสามารถตรวจสอบสถานะการทำงานของมันได้ใน Device Manage

5 อันดับแรกที่คนส่วนใหญ่มักเสียใจที่ไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ ขณะยังที่พวกเขายังแข็งแรงดีอยู่...


1. "ฉันอยากจะมีชีวิตที่เป็นของตัวเอง แทนที่จะเป็นในแบบที่คนอื่นอยากให้ฉันเป็น"

          นี่เป็นอันดับแรกสุดที่หลายคนปรารถนาอยากให้มันเกิดขึ้นขณะที่พวกเขายังมีกำลังวังชาดี ณ เวลาปัจจุบันที่พวกเขามองย้อนกลับไป จึงได้พบว่ามีหลายความหวังและความฝัน ที่เขายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะเริ่มต้นลงมือทำ พอมานึกได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาไม่มีกำลังเหลือที่จะต่อสู้เพื่อความฝันอีกต่อไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาล้วนแต่วิ่งไล่ตามสิ่งที่คนอื่นอยากเห็นเขาทำ อยากให้เขาเป็น จนลืมไล่ตามความฝันของตัวเอง

          ในหนึ่งชีวิตที่ได้เกิดมานั้น การได้ทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่เราใฝ่ฝันถือว่าสำคัญที่สุด ถึงจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยขอเพียงให้ได้ลงมือทำ เพราะหากละทิ้งปล่อยให้มันผ่านล่วงเลยไปจนวันที่สุขภาพไม่เอื้ออำนวยแล้ว แม้จะอยากไล่ตามความฝันแค่ไหนก็ทำไม่ได้อีกต่อไป
2. "ฉันไม่น่าจะทุ่มเททำแต่งานมากขนาดนั้น"
          คนไข้ชายแทบทุกคนพูดเช่นนี้กับเธอ เพราะผู้ชายพวกนั้นล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัว และรับผิดชอบในการหาเงินมาจุนเจือดูแลสมาชิกในบ้าน เมื่อมองย้อนกลับไปพวกเขาจึงไม่อาจระงับความเสียใจได้ ที่ไม่ได้ใช้เวลากับลูก ๆ และภรรยาให้มากกว่านี้ พวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เอาแต่โหมทำงานหนัก จนละเลยการใช้เวลากับครอบครัว ...มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราจะเพิ่มเวลาว่างให้แต่ละวันในชีวิต และใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นกับบุคคลอันเป็นที่รัก มีความสุขในแต่ละวันมากขึ้น และไม่ต้องมานั่งเสียใจเมื่อสายเกินไปแบบนี้ด้วย

3. "ฉันน่าจะได้พูดเรื่องนั้นออกไป"
          คนไข้หลาย  ๆ คนเสียใจที่ตัวเองไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดออกมา หลายคนเลือกที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือผิดใจกับผู้อื่น จนทำให้อาการป่วยหลาย ๆ อย่างพัฒนาขึ้นมาจากความเครียดที่ ต้องเก็บงำสิ่งเหล่านี้เอาไว้นั่นเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงกล่าวได้ว่าผู้ป่วยของเธอไม่ได้แสดงความเป็นตัวของตัว เองที่แท้จริงออกมาเลย

          ไม่ว่าอย่างไร เราก็ไม่สามารถควบคุมความคิดของอีกฝ่ายที่จะมีต่อเราได้ การที่เราได้พูดในสิ่งที่ใจคิดออกไป  แม้อาจทำให้อีกฝ่ายไม่พึงใจ แต่มันก็จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับบุคคลนั้นไปในทิศทางใหม่ที่ตรงไปตรงมาและจริงใจต่อกัน และคุณเองก็ไม่ต้องอึดอัดใจกับการที่ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปได้ด้วย
4. "ฉันอยากใช้เวลากับเพื่อนสนิทให้มากกว่านี้"
          หลายครั้งหลายหนนักที่กว่าเราจะเข้าใจความสำคัญและยิ่งใหญ่ของมิตรภาพก็เมื่อเวลาล่วงเลยจนสายเกินไป คนไข้จำนวนไม่น้อยของเธอต่างรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ให้เวลาในการบำรุงรักษามิตรภาพเก่าแก่ของตน ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากวิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ที่ยุ่งและเร่งรีบเสียจนเวลาในหนึ่งวันไม่เหลือพอให้คิดถึงสหายที่เคยกอดคอร่วมกันมา แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงช่วงระยะเวลาสุดท้ายของชีวิต หนึ่งในสิ่งที่พวกเขาโหยหามากที่สุดก็คือความรักจากมิตรสหาย อยากพบหน้า อยากพูดคุย อยากใช้เวลาด้วยกันให้มากกว่าที่ผ่านมา
5. "ฉันอยากใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่านี้"
          คนไข้ที่พูดเช่นนี้หาได้ไม่พอใจใน ความเป็นอยู่ของชีวิตที่เคยเป็นมา แต่เป็นเพราะว่าเมื่อมองย้อนกลับไป พวกเขากลับพบหนทางมากมายเหลือเกินที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้มากกว่าเดิม แต่พวกเขากลับไม่เลือกเดินทางนั้น ที่ผ่านมาพวกเขาใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง กลัวสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตที่เป็นอยู่ให้ต่างไปจากเดิม โดยที่ยังไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลง นั้นจะเป็นไปในทิศทางใด จะดีหรือว่าร้าย ทำให้ชีวิตย่ำอยู่บนกรอบแคบ ๆ อันเดิม กิจวัตรในแต่ละวันคงเดิม ไม่มีความแปลกใหม่ ไม่มีสีสันที่จะทำให้ชีวิตน่าจดจำเลย